วัดพระสิงห์จ. เชียงใหม่

วัดพระสิงห์ วรมหาวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดวรมหาวิหาร ตั้งอยู่เลขที่ 2 ถนนสามล้าน ตำบลพระสิงห์ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ ตั้งอยู่ในเขตกำแพงเมืองเก่า ลักษณะพื้นที่เป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีเนื้อที่ 25 ไร่ 2 งาน 25 ตารางวา มีถนนล้อมรอบวัดทั้ง 4 ด้าน ทิศเหนือติดถนนอินทวโรรส ทิศตะวันออกติดถนนสามล้าน ทิศใต้ติดถนนแสนเมืองมา ทิศตะวันตกติดถนนอินทวโรรส

 

ผู้สร้างวัด

            วัดพระสิงห์ วรมหาวิหาร สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 1888 โดยพญาผายู กษัตริย์เชียงใหม่ องค์ที่ 5 แห่งราชวงศ์มังราย พญาผายูได้นำอัฐิ พญาคำฟู ผู้เป็นราชบิดา ซึ่งครองอยู่เมืองเชียงแสนมาบรรจุในสถูปประดิษฐานไว้ ณ ที่แห่งนี้ แล้วสร้างขึ้น เดิมทีเรียกวัดแห่งนี้ว่า วัดลีเชียงพระ เพราะที่บริเวณหน้าวัดเป็นสถานที่ค้าขายของชาวเมือง จนกลายเป็นตลาดลีเชียงพระ และเรียกชื่อวัดว่า “วัดลีเชียงพระ”

            ต่อมาประมาณ พ.ศ. 1943 เจ้ามหาพรหม กษัตริย์เมืองเชียงราย ได้อัญเชิญ พระพุทธสิหิงค์ หรือพระสิงห์ ซึ่งได้มาจากเมืองกำแพงเพชร นำมาถวายพญาแสนเมืองมากษัตริย์เชียงใหม่ พญาแสนเมืองมาได้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ หรือพระสิงห์ประดิษฐานไว้ที่วัดลีเชียงพระประชาชนจึงเรียกวัดลีเชียงพระว่า”วัดพระสิงห์” นับตั้งแต่นั้นมา

            วัดพระสิงห์ วรมหาวิหาร ได้รับพระราชทานโปรดเกล้าฯ ยกฐานะเป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิด วรมหาวิหาร เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2483 ตรงกับรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อานันทมหิดล รัชกาลที่ 8

 

ปูชนียสถานและปูชนียวัตถุที่สำคัญภายในวัดพระสิงห์

            1. พระพุทธสิหิงค์ หรือ พระสิงห์ เป็นพระพุทธรูปเก่าแก่ศักดิ์สิทธิ์ สำคัญคู่บ้านคู่เมืองของเมืองเชียงใหม่ ตามประวัติกล่าวว่าสร้างขึ้นเมื่อปีพุทธศักราช 700 โดยกษัตริย์ลังกา 3 พระองค์และพระอรหันต์ 20รูป เป็นผู้สร้าง พ.ศ. 1931 พระเจ้า แสนเมืองมา ได้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ ประดิษฐานที่วัดลีเชียงพระ (วัดพระสิงห์) ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ในพระวิหารลายคำ วัดพระสิงห์ วรมหาวิหาร เทศกาลสงกรานต์ทุกปีมี พิธีอาราธนาอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ออกแห่ ให้ประชาชนได้สรงน้ำสักการบูชา เป็นเวลา 3 วัน 3 คืน

            2. พระเจ้าทองทิพย์ เป็นพระพุทธรูปเก่าแก่สำคัญอีกองค์หนึ่ง พญาติโลกราช กษัตริย์เชียงใหม่ องค์ที่ 12 แห่งราชวงศ์มังรายสร้างขึ้นเป็นที่ระลึกการทำสังคายนาพระไตรปิฎก ครั้งที่ 8 ที่เชียงใหม่ เมื่อ พ.ศ.2020 ปัจจุบันทางวัดพระสิงห์ ได้สร้างพระเจ้าทองทิพย์จำลองประดิษฐานอยู่มณฑปในพระอุโบสถสองสงฆ์

            3. พระศรีสรรเพชญ (หลวงพ่อโต) พระประธานในพระวิหารหลวง เป็นพระพุทธรูปปูนปั้น เข้าใจว่าเป็นพระพุทธรูปพระประธานในพระวิหารหลังเดิมที่ถูกรื้อถอนไปในสมัยที่ครูบาศรีวิชัย มาเป็นเจ้าอาวาสและได้สร้างวิหารหลวงขึ้นมาแทน

            4. พระเจ้าทันใจ เป็นพระพุทธรูปปูนปั้น สร้างเมื่อใดไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด จากคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ว่ามีอายุหลายร้อยปี ประดิษฐานอยู่ในพระวิหารพระเจ้าทันใจ

            5. พระพุทธไสยาสน์ (พระนอน) เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นเก่าแก่สร้างเมื่อ พ.ศ. 2094 และได้มีการบูรณะหลายครั้ง ครั้งที่ 1 พ.ศ. 2493 สมัยพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (ฟู อตฺตสิวมหาเถร) เป็นเจ้าอาวาส ครั้งที่ 2 เมื่อ พ.ศ. 2537 สมัยพระธรรมสิทธาจารย์ (หนู ถาวรมหาเถระ) เป็นเจ้าอาวาส ครั้งที่ 3 พ.ศ. 2554 สมัยพระราชสิงหวรมุนี (โสภณ โสภโณ) เป็นเจ้าอาวาส

            6. พระมหาธาตุเจดีย์ (พระธาตุหลวง) สูง 25 วา ฐานสี่เหลี่ยมยาวด้านละ 16 วา 1 ศอก 6 นิ้ว ในตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่กล่าวว่าเป็นที่บรรจุพระเกศาธาตุ เป็นพระธาตุประจำปีนักษัตรปีมะโรง พญาผายูทรงสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 1888 ต่อมาระหว่าง พ.ศ. 2101- 2317 เชียงใหม่ตกอยู่ในอำนาจของพม่าวัดพระสิงห์ ขณะนั้นมีสภาพเป็น วัดร้าง เสนาสนโบราณสถานอยู่ในสภาพเสื่อมโทรม มาจนถึง พ.ศ. 2469 พระราชชายา เจ้าดารารัศมี และเจ้าแก้วนวรัฐ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ และครูบาศรีวิชัย ได้นำประชาชนร่วมกันบูรณปฏิสังขรณ์เสนาสนะและเสริมสร้างพระธาตุเจดีย์ให้สูงใหญ่

            7. อนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย ประดิษฐานอยู่ที่แท่นวงเวียนหน้าพระวิหารหลวง สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกถึงครูบาศรีวิชัยซึ่งเป็นอดีตเจ้าอาวาสวัดพระสิงห์ วรมหาวิหาร ครูบาศรีวิชัย ได้อยู่จำพรรษาอยู่ที่วัด พระสิงห์ วรมหาวิหาร 13 พรรษา มีกุฏิไม้สักโบราณของครูบาศรีวิชัย (ปัจจุบันกุฏิไม้สักถูกไฟไหม้) หอจงกรมยังมีอยู่ ครูบาศรีวิชัย ได้เป็นประธานบูรณปฏิสังขรณ์ และสร้างเสนาสนะภายในวัดพระสิงห์เกือบทั้งหมด

            8. กู่มณฑปปราสาท เป็นกู่มณฑปที่สร้างเป็นที่ประดิษฐาน พระพุทธรูปภายในอาคาร ที่ชาวล้านนาทั่วไปมักเรียกว่า “โขงพระเจ้า” แต่หากยึดถือหลักฐานจากศิลาจารึกแล้วพบว่า “ปราสาทพระเจ้า” ฐานเขียงในฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัสรับฐานเขียงแปดเหลี่ยม ตามสภาพในปัจจุบันคงเป็นฐานที่ถูกบูรณะขึ้นมาใหม่ ส่วนเรือนธาตุในผังสี่เหลี่ยมย่อเก็จขนาดเล็ก จนขนาดของมุมย่อเก็จใกล้เคียงกับขนาดของมุมประธาน ทำให้มีนักวิชาการบางท่านเลือกที่จะใช้คำอธิบายว่า “หยักมุม” ทั้งนี้เพราะเข้าใจว่าเป็นอิทธิพลจากศิลปะอยุธยาด้วย ขนาดของมุมที่ตื้นมีผลให้กรอบซุ้มจระนำชิดติดกับเรือนธาตุและกรอบซุ้มชั้นบนโค้งไปตามแนวของบังถลา (หลังคาลาด) กึ่งกลางของบัวถลาทุกด้านประดับด้วยบันแถลง ถัดไปเป็นชั้นลดที่จำลองแบบจากเรือนธาตุซ้อนกันรับยอดรูปดอกบัวตูม รูปแบบดังกล่าวตอกย้ำถึงเจตนาที่จะสร้างให้อยู่ในรูปของทรงปราสาทที่ชัดเจน จำนวนของชั้นลดมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเป็นสามชั้น เช่นเดียวกับโขงประดิษฐานพระเจ้าล้านทองในวิหารวัดพระธาตุลำปางหลวง ซึ่งเชื่อกันว่าได้รับการบูรณะครั้งใหญ่เมื่อ พ.ศ. 2106 แต่สำหรับการทำมุมเรือนธาตุขนาดเล็กนี้ อาจเทียบได้กับเจดีย์ทรงปราสาทจำลองที่พญาหลวงเจ้ามังสะแพรก พร้อมทั้งพระนางบุษบาสิริวัฒนเทพาราชกัญญาพระมเหสี และพระยอดงำเมือง พระราชโอรส หล่อขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๒๗๐

            9. กู่อัฐิของพญาคำฟู เป็นกู่เล็ก ๆ ลักษณะเป็นทรงกลมเส้นรอบวงประมาณเมตรครึ่งด้านบนเป็นแผ่นศิลาทรงกลมปิดไว้ อยู่ด้านหน้าพระอุโบสถทางทิศเหนือเยื้องขวา ไปประมาณ 10 เมตร คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าพระธาตุหลวง เป็นที่บรรจุอัฐิของพญาคำฟู ซึ่งสมัยของครูบาศรีวิชัย มาแผ้วถางบูรณะวัดพระสิงห์ วรมหาวิหาร ได้พบกู่อัฐิค้นพบข้างในมีผอบบรรจุอัฐิซ้อนกัน ๓ ใบ ชั้นนอกทำด้วยทองเหลืองหนัก 254 บาท 3 สลึง สูง 23 นิ้ว ชั้นกลางทำด้วยเงินหนัก 185 บาท 2 สลึง สูง 18 นิ้ว ชั้นในสุด ทำด้วยทองคำหนัก 122 บาท 2 สลึง สูง 14 นิ้ว และยังพบแผ่นทองจารึกเรื่องราวต่าง ๆ สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นอัฐิของพญาคำฟูผู้สร้างวัด ทางราชการได้นำไปเก็บไว้ที่ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ชั่วคราว ซึ่งตั้งอยู่ที่ข่วงสิงห์ และขณะนั้นเกิดสงครามมหาเอเชียบูรพา ผอบทั้ง 3 ใบ และจารึกตลอดถึงเครื่องราชูปโภคเหล่านั้นได้สูญหายไปในขณะเกิดสงครามซึ่งประมาณ พ.ศ. 2484

            10. อนุสาวรีย์พญามังราย ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์มังราย ซึ่งเป็นผู้สร้างเมืองเชียงใหม่ องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งมีคุณอุดรพันธ์ จันทรวิโรจน์ เป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ ขณะนั้น เป็นผู้สร้างถวาย

            11. อนุสาวรีพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (ฟู อตฺตสิวมหาเถร) สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2555 โดย พระราชสิงหวรมุนี (โสภณ โสภโณ) เจ้าอาวาสวัดพระสิงห์ วรมหาวิหาร ร่วมกับคณะสงฆ์-ศรัทธา เป็นผู้สร้างขึ้นเป็นที่ระลึกครบ 111 ปีชาตะกาลของพระเดชพระคุณ พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ และฉลอง 666 วัดพระสิงห์ และครบ 50 ปี โรงเรียนธรรมราชศึกษา สร้างแทนองค์เดิมซึ่งปั้นด้วยปูนปั้น อาราธนาไปประดิษฐานหน้าอาคารเรียนโรงเรียนธรรมราชศึกษาในวัดพระสิงห์ เมื่อวันพุธที่ 20 มิถุนายน 2555 เวลา 08.28 น.  

            12. อนุสาวรีพระธรรมสิทธาจารย์ (หนู ถาวรมหาเถร) สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2555 ฉลอง 100 ปีชาตะกาลของพระเดชพระคุณพระธรรมสิทธาจารย์ สร้างพร้อมกับอนุสาวรีย์ พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (ฟู อตฺตสิวมหาเถร) สร้างโดยพระราชสิงหวรมุนี (โสภณ โสภโณ) เจ้าอาวาสวัดพระสิงห์ วรมหาวิหาร และคณะสงฆ์-ศรัทธา ร่วมฉลอง 666 ปี วัดพระสิงห์ วรมหาวิหาร และ 50 ปี โรงเรียนธรรมราชศึกษาด้วย ได้อาราธนาไปประดิษฐานไว้หน้าอาคารเรียนโรงเรียนธรรมราชศึกษา เมื่อวันพุธที่ 20 มิถุนายน 2555

 

ปูชนียสถานที่สำคัญภายในวัดพระสิงห์ วรมหาวิหาร

            1. พระวิหารลายคำ สร้างขึ้นสมัยของพญาธรรมลังกาหรือพระเจ้าช้างเผือก ระหว่าง พ.ศ. 2358-2364 เป็นสถานที่ประดิษฐานของพระพุทธสิหิงค์ พระวิหารลายคำสร้างเป็นศิลปะล้านนากว้าง 8 เมตร ยาว 30 เมตร มีช่อฟ้า ใบระกา หลังคามุงกระเบื้อง ดินเผาที่มีความสวยงามมาก ได้รับรางวัลสถาปัตยกรรมดีเด่น มีลวดลายทองล่องชาดเทคนิคการฉลุลายปรากฏบนฝาผนังหลังพระประธาน และเสากลางวิหารและเสาระเบียงด้านหน้าพระวิหาร ตลอดถึงบางส่วนของโครงไม้ บนฝาผนังภายในมีภาพจิตรกรรมฝาผนัง เรื่อง สังข์ทองและสุวรรณหงส์ เขียนด้วยสีฝุ่นมีความงดงามมาก

            2. พระวิหารหลวง สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2467 เป็นที่ประดิษฐานพระศรีสรรเพชญ (หลวงพ่อโต) พระวิหารหลวงสถาปัตยกรรมแบบล้านนา กว้าง 24 เมตร ยาว 56 เมตร ผนัง-ต้นเสาคอนกรีตเสริมเหล็ก เครื่องบนไม้สักล้วน หลังคามุงกระเบื้อง มีช่อฟ้าใบระกา หางหงส์ มีมุขหน้าและมุขหลัง ด้านหน้ามี 3 ประตู ด้านหลังมีประตู 2 ข้าง ด้านข้างมี 2 ประตู มีหน้าต่าง ด้านละ 5 ช่อง พระวิหารหลังเดิมเป็นจัตุรมุข ซึ่งได้ชำรุดทรุดโทรมมากจนไม่สามารถบูรณะให้เหมือนเดิมได้ ครูบาศรีวิชัยจึงได้รื้อและสร้างพระวิหารหลวงปัจจุบันนี้แทน

            3. พระอุโบสถ หรือพระอุโบสถสองสงฆ์ ตามหลักศิลาจารึกบอกว่า สร้างสมัยของพระเจ้ากาวิละ และเจ้าอาวาสวัดพระสิงห์สมัยนั้น ได้ร่วมกันสร้างและจัดงานฉลองเมื่อ พ.ศ. 2355 พระอุโบสถเป็นสถาปัตยกรรมล้านนากว้าง 6 วา 10 นิ้ว ยาว 14 วา 1 ศอก มุงกระเบื้องดินเผามีช่อฟ้าใบระกา มีมุขทั้ง 2 ด้าน มีซุ้มประตูทางเข้าทั้ง 2 ด้านที่งดงาม รูปทรงครึ่งปูนครึ่งไม้ ด้านบนเป็นเครื่องไม้ทั้งหมด ตรงกลางพระอุโบสถมีมณฑปที่สวยงาม เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปพระเจ้าทองทิพย์จำลอง ปัจจุบันได้นำหลักศิลาจารึกบันทึกการสร้างพระอุโบสถ ซึ่งพิพิธภัณฑ์แห่งชาติเชียงใหม่ได้เก็บไว้ ได้นำมาไว้ในพระอุโบสถแล้ว เหตุที่เรียกว่าพระอุโบสถสองสงฆ์ เพราะเป็นการสร้างเพื่อจำลองการทำ สังฆกรรมของพระภิกษุสงฆ์และพระภิกษุณีสงฆ์

            4. หอไตร (หอพระไตรปิฎก) สร้างขึ้นในสมัยของพระเจ้ากาวิละเมื่อ พ.ศ. 2354 เป็นสถาปัตยกรรมล้านนา กว้าง ๔ วา ๓ ศอก 4 นิ้ว ยาว 8 วา 118 นิ้ว เป็นที่เก็บคัมภีร์ และหีบธรรม มีความงดงาม มีลวดลายปูนปั้นประดับตกแต่งรอบบริเวณหอไตร

            5. หอไตรเล็ก สร้างขึ้นใหม่ โดยหลวงอนุสารสุนทรและนางอนุสาร ชัวย่งเส็ง เป็นผู้สร้างขึ้นเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2469 และได้บูรณะ เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2548

            6. หอจงกรมครูบาศรีวิชัย สร้างเมื่อ พ.ศ. 2471 โดยหลวงอนุสารสุนทร สร้างถวายครูบาศรีวิชัย ใช้เป็นที่เดินจงกรม ได้บูรณะเมื่อ พ.ศ. 2547 เดิมมีทางเดินเชื่อมไปที่กุฏิไม้สักซึ่งกุฏิของครูบาศรีวิชัยปัจจุบันกุฏิไม้สักถูกไฟไหม้ไปแล้ว


วัดพระสิงห์เป็นวัดเก่าแก่


มีเจ้าอาวาสสืบมาเท่าที่ปรากฏนามมีดังนี้